วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การใช้ Clone Stamp Tool และ Healing Brush Tool


การใช้ Clone Stamp Tool และ Healing Brush Tool ในโปรแกรม Photoshop ในการแต่งรูปวิชา จิตรกรรมดิจิตอล



ก่อนทำ



หลังทำ

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555



ศิลปะโกธิค

ในตอนที่แล้วเราได้รู้จักกับคำว่าโกธกันไปแล้ว คราวนี้เราจะมาดูเรื่องราวที่จะนำไปสู่วัฒนธรรมทางดนตรีและการแต่งกาย รวมถึงปรัชญาของพวกเราชาวโกธ
   คำว่าโกธิค นั้นคือ ชื่อเรียกลักษณะของศิลปะสถาปัตยกรรมในยุคกลางราวช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 12 พร้อมๆกับยุคศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ [Romanesque] กินเวลาประมาณ 200 ปี ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในฝรั่งเศสโดยเริ่มต้นที่รูปแบบสถาปัตยกรรมของโบสถ์ และ มหาวิหารต่างๆนั่นเองซึ่งเราจะยังไม่พูดถึงในตอนนี้ ที่เราจะพูดถึงกันก็คือศิลปะก่อนเป็นอันดับแรกนั่นเอง
  แต่ว่าได้มีผู้ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับที่มาของคำว่าโกธิคไว้ว่า มาจากภาษากรีกคำว่า Goetic ซึ่งแปลว่าเวทมนต์ และผู้คนที่ได้พบได้เห็นต่างลงความเห็นกันว่ามันงดงามมากเพราะไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงสัณฐาน ความสูงอย่างเหลือเชื่อ ความมีชีวิตชีวา และ อื่นๆอีกมากมาย ราวกับว่ามันถูกเนรมิตขึ้นมา 
(มหาวิหารแห่งมิลาน หรือ Duomo di Milano เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่อลังการงานสร้างสุดๆ)




















(สถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ จะเห็นได้ชัดเลยว่า มีความเรียบง่ายผิดแผกไปจากแบบโกธิคมาก เพราะสถาปัตยกรรมแบบนี้เป็นแบบที่ยึดถือแบบโรมันดั้งเดิม)
วิวัฒนาการของศิลปะแบบโกธิคนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 โดยเน้นความสมจริง ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเหมือนที่เป็นๆมา และ ยังมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิมอีกด้วย โดยศิลปะแบบโกธิคที่เด่นๆนั้นประกอบไปด้วยรูปสลักรูปปั้น ภาพเขียน หน้าต่างกระจกสี ภาพปูนเปียก (เฟรสโก Fresco) และต้นฉบับแบบลายมือ (ลายมือแบบศิลป์ๆที่พวกเราชาวโกธสุดแสนจะรัก) และศิลปะแบบโกธิคนี้เองที่เป็นรากฐานให้กับศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือแบบเรเนสซองส์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนั่นเอง
>>>ลักษณะโดยทั่วไปของศิลปะแบบโกธิค
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ศาสนาหรือก็เรื่องทางโลกนั่นแหละกับทั้งเรื่องทางศาสนาซึ่งศิลปะแบบโกธิคนั้นมักจะเล่าเรื่องราวผ่านรูปภาพเป็นส่วนใหญ่ โดยในยุคแรกๆนั้นภาพส่วนใหญ่จะอยู่ในโบสถ์และวิหารมักจะเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลภาคพันธสัญญาเดิม [The Old Testament] และ ภาคพันธสัญญาใหม่ [The New Testament] อยู่เคียงข้างกันเสมอ และตามมาด้วยภาพวาดของนักบุญ ส่วนภาพของพระแม่มารีนั้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดสำหรับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่าศิลปะแบบไบแซนไทน์ที่แพร่หลายในตอนนั้นก็คือ มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ลักษณะความเมตตาและความรักต่อพระบุตรปรากฏเด่นชัดกว่าเดิม และที่สำคัญก็คือมีการถ่ายทอดลักษณะความเป็นพระมารดาแห่งพระเยซูและพระมารดาแห่งสวรรค์ออกมาได้สมกับพระฐานันดรของพระนาง


   (ภาพวาดพระแม่มารีย์แบบไบแซนไทน์)
(นี่เป็นแบบโกธิค จะเห็นได้ชัดเลยว่าต่างกันมากๆ)
   ส่วนศิลปะแบบทางโลกนะคะ เริ่มขึ้นในช่วงที่ การค้าและการปกครองนอกศาสน-จักรนั้นเฟื่องฟูขึ้นกว่าเดิม การค้าขายทำให้มีชนชั้นกลางขึ้นไปจนถึงระดับเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากมายจนทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถจะสนับสนุนและอุปถัมภ์งานศิลปะของเหล่าศิลปินได้ งานศิลปะแบบโกธิคและการเขียนหนังสือซึ่งสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่ผู้เขียนมักจะเป็นพระที่อยู่ในวัดมากกว่า ดังนั้นในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็เลยแพร่หลายมากขึ้นจนทำให้ผู้คนนั้นอ่านออกเขียนได้ มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเองและการนี้เองเป็นจุดที่จะเริ่มต้นการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการเก่าๆให้กลับขึ้นมาค่ะ ที่สำคัญก็คือทำให้ศิลปะแบบโกธิคที่เข้าใจกันว่าต้องเป็นทางศาสนาเท่านั้น มีความเป็นทางโลกมากขึ้นโดยบรรดาศิลปินนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดี มีความคิดความอ่านที่สร้างสรรค์ไม่ยึดติดกับศาสนามากขึ้น และ ทำให้ผู้คนนั้นเข้าใจถึงแก่นแท้ของงานศิลปะมากกว่าเดิม
แล้วช่วงนี้เองค่ะที่สมาคมของศิลปินได้ถูกจัดตั้งขึ้นมากมาย โดยได้แนวคิดมาจากสมาคมการค้าที่มีผลประโยชน์มากมาย อาทิเช่น สามารถเก็บสินค้าไว้กับสมาคมได้โดยปลอดภัยและไม่สูญหาย จากจุดนี้เองศิลปินส่วนใหญ่เลยตกลงใจที่จะรวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อเก็บรักษางานศิลปะของตนเองไม่ให้สูญหายไปและชื่อของพวกเขาที่เซ็นไว้ใต้ชิ้นงานหรือหลังชิ้นงานก็จะไม่ลบเลือนไปด้วย จึงทำให้ทราบว่าเป็นผลงานของใครดูในส่วนของงานศิลปะทั่วๆไปกันไปแล้วและต่อไปเราก็จะมาดูงานประติมากรรมกันบ้าง


[Chartres Cathedral] และมหาวิหารแห่งนี้ไม่เป็นเพียงแค่มหาวิหารแบบโกธิคแห่งแรกของโลกเท่านั้นนะคะหากแต่เป็นต้นแบบของประติมากรรมแบบโกธิคอีกด้วย ทว่าไม่ใช่เป็นแห่งแรกเหมือนกับตัวมหาวิหารค่ะ อันที่จริงแล้วงานประติมากรรมแบบโกธิคนี้ได้ถูกนำมาจากแคว้นเบอร์กันดีในปี 1145 (แคว้นทางตอนกลางของฝรั่งเศส มีชื่อเสียงในการทำเหล้าองุ่น) ซึ่งต่อมาเมื่อรูปแบบนี้ถูกนำมาใช้ในมหาวิหารชาร์เตอรส์ฯ มันก็เลยกลายเป็นรูปแบบมาตรฐานของประติมากรรมแบบโกธิคไปเลย
>>>งานประติมากรรมแบบโกธิค
งานประติมากรรมแบบโกธิคนั้นมีจุดกำเนิดมาจากบนผนัง เริ่มขึ้นในช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่เขตอีเลอ เด ฟรองซ์ [?le-de-France – อ่านถูกหรือเปล่า ไม่ได้เรียนศิลป์ฝรั่งเศสเลยไม่รู้ว่าตัวหน้าอ่านยังไง] ซึ่งก็คือเขตการปกครองหรือมณฑลในฝรั่งเศสมีปารีสเป็นเมืองหลัก โดยผลงานที่ได้รับยกย่องว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิคชิ้นแรกของโลกนั้นคือวิหารเซนต์เดนิสหรือ แซงต์เดอนิส




(ภายในอลังการมากมาย)
วิหารนี้สร้างเสร็จในปี 1140 ซึ่งภายหลังกลายเป็นระดับมหาวิหารชื่อว่ามหาวิหารชาร์เตรอส์ คาเตอดรอลต่อมาแนวความคิดประติมากรรมแบบโกธิคได้แพร่กระจายออกจากฝรั่งเศสไปเกือบทั่วยุโรป ยกตัวอย่างเช่นในเยอรมนี เริ่มแพร่กระจายจากเมืองแบมเบิร์ก [Bamberg] ในปี 1225 เราจะเห็นอิทธิพลของประติมากรรมแบบโกธิคได้ตามโบสถ์ และ มหาวิหารแถบนี้เยอะแยะไปหมดเลย
ตามมาด้วยตัวอย่างในอังกฤษ มันแปลกมากๆ! เพราะประติมากรรมแบบโกธิคนี่จะถูกจำกัดให้ใช้กับแค่สุสาน แล้วก็จะไม่ค่อยมีรายละเอียดมากมายซะด้วยสิ (ประมาณว่าเรียบสุดๆ = =) แต่ก็ต้องมาร้องอ้อกับความแปลกนี้ เพราะว่าในสมัยนั้นอังกฤษนับถือศาสนาคริสต์ในนิกายซิสเตอร์เซียน ซึ่งเป็นนิกายที่แยกย่อยออกมาจากโรมันคาทอลิกอีกทีหนึ่ง เป็นนิกายที่สมถะและเรียบง่าย ดังนั้นถ้าหากจะนำศิลปะประติมากรรมแบบโกธิคซึ่งมีความสวยงามหรูหราอยู่ในตัวมาใช้ก็จะเป็นการทำลายภาพพจน์นั่นเอง
แล้วก็คราวนี้หลังจากที่ได้ดูจุดกำเนิด การแพร่กระจาย และ ตัวอย่างแปลกๆเล็กๆไปแล้ว
เรามาดูลักษณะของประติมากรรมแบบโกธิคกันดีกว่าค่ะ อันประติมากรรมแบบโกธิคนี้วิวัฒนาการมาจางานในยุคแรกๆ ที่ไร้ชีวิตชีวาแข็งทื่อสมกับเป็นรูปปั้นจริงๆหรือพูดง่ายๆก็คือแบบโรมาเนสก์ กลายเป็นประติมากรรมที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น โดยมีการรื้อฟืนอิทธิพลแบบกรีก-โรมันโบราณเข้ามาใช้ด้วยคือมีการแกะสลักรอยผ้าให้ดูพลิ้วไหว รวมไปถึงสีหน้าท่าทางการแสดงออกที่ดูสมจริงสมจังขึ้นกว่าเดิม



(เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแบบโกธิคกับโรมาเนสก์ ข้างบนเป็นแบบโกธิค)
แต่ว่า....ประติมากรรมแบบโกธิคก็เหมือนๆกับโรมาเนสก์คือมีจุดเริ่มต้น-รุ่งเรืองแล้วก็พัฒนาการ เพราะว่าในราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นการเริ่มต้นของยุคเรเนสซองส์ ทำให้ประติมากรรมแบบโกธิคนั้นพัฒนาไปเป็นประติมากรรมแบบเรเนสซองส์เช่นที่เราเห็นกันทั่วไปในกรุงโรมนั่นเอง
>>>จิตรกรรมแบบโกธิค
แล้วก็มาถึงหัวข้อสุดท้ายในตอนนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องที่หนักและถือเป็นหัวใจในตอนต่อไปก็คือเรื่องจิตรกรรมแบบโกธิค  จิตรกรรมในแบบที่สามารถเรียกว่า จิตรกรรมแบบโกธิคได้เต็มปากเต็มคำ นั้นปรากฏออกมาหลังจากการเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมและประติมากรรมแบบโกธิคตั้ง 50กว่าปีหรือง่ายๆก็คือราวๆในปี ค.ศ.1200
หากแต่การส่งผ่านลักษณะจากจิตรกรรมแบบโรมาเนสก์สู่โกธิคนั้นมีความคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างมาก เพราะมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่เราสามารถเห็นได้ถึงจุดเริ่มต้นของสไตล์ที่เรียกได้ว่าเป็นโกธิคของแท้คือ ดูโศกเศร้า มืดมน และ ดูมีความรู้สึกมากกว่าจิตรกรรมในยุคที่ผ่านๆมามากมายนัก แล้วถ้าหากจะให้วิเคราะห์ถึงที่มาของอารมณ์ที่ดู ดีเพรส โศกเศร้า มืดมน ของโกธิคอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันนี้ก็คงจะได้อิทธิพลมาจากทางนี้อยู่โขเหมือนกันลองสังเกตดูจากภาพข้างล่าง
(แม้ว่าภาพนี้จะถูกวาดในยุคที่อยู่ในยุคหลังจากยุคโกธิคตั้งหลายปีดีดัก ไม่สิต้องหลายศตวรรษเลยด้วยซ้ำ เพราะภาพนี้ถูกวาดขึ้นในปี 1930 อารมณ์ของภาพนี่ประมาณว่าเศร้าและมืดมนมาเลยทันทีที่ได้ดูภาพ หรือใครจะคิดเป็นอารมณ์อื่นก็ได้แต่เราคิดว่ามันให้ความรู้สึกแบบนั้นน่ะ) 
มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า งานจิตรกรรมแบบโกธิคนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของความวชาญพื้นฐานในด้านงานช่างศิลป์ 4 ประการในการทำงานศิลป์แบบโกธิค ได้แก่ ภาพปูนเปียก [Frescos] ภาพบนกระดานไม้ [Panel Paintings] ภาพวาดประกอบเรื่องราวหรือที่เรียกกันว่าอิลลัสสเตรชัน [Manuscript Illumination-แต่ส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักจะเป็นภาพประกอบเรื่องราวในพระคัมภีร์มากกว่า] และ งานกระจกสี [Stain Glassed]
อันงานภาพปูนเปียกนี้ถูกใช้มาอย่างต่อเนื่องในโบสถ์ตั้งแต่แบบดั้งเดิมยุคแรกๆแล้วในยุโรปทางตอนใต้โดยเป็นการเล่าเรื่องราวหลักๆผ่านภาพเขียน แต่ว่าในทางตอนเหนือของยุโรปงานกระจกสีกลับได้รับความนิยมมากกว่าจนแพร่กระจายไปทั่วยุโรป หากแต่สิ่งเหล่านี้ก็ถูกแทนที่ด้วยภาพบนกระดานไม้ที่มีจุดเริ่มต้นในประเทศอิตาลีราวๆศตวรรษที่ 13 และก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วถึงขั้นออกไปนอกยุโรปด้วย ซึ่งต่อมางานจิตรกรรมชนิดนี้ก็ค่อยๆเข้าไปแทนที่งานกระจกสีทีละน้อยๆในที่สุด
และนี่ก็คือตัวอย่างของงานจิตรกรรมประเภทต่างๆ
[Panel Painting]



[Manuscript Illumination]

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


Clone Stamp Tool
การใช Clone Stamp Tool ในโปรแกรม Photoshop
 ในการแต่งรูป  วิชา จิตรกรรมดิจิตอล 1
before



After

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555



  Keyboard


Key board   เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นปุ่มตัวอักษรเหมือนปุ่มเครื่องพิมพ์ดีด เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยน เป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษร ตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์   แผงแป้นอักขระสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มที่ผลิตออามารุ่นแรก ๆ ตั้งแต่
 พ.ศ. 2524 จะเป็นแป้นรวมทั้งหมด 83 แป้น ซึ่งเรียกว่า แผงแป้นอักขระ PCXT ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 บริษัทไอบีเอ็มได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระ กำหนดสัญญาณทางไฟฟ้าของแป้นขึ้นใหม่ จัดตำแหน่งและขนาดแป้นให้เหมาะสมดียิ่งขึ้น โดยมีจำนวนแป้นรวม 84 แป้น เรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอที และในเวลาต่อมาก็ได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระขึ้นพร้อม ๆ กับการออกเครื่องรุ่น PS/2 โดยใช้สัญญาณทางไฟฟ้า เช่นเดียวกับแผงแป้นอักขระรุ่นเอทีเดิม และเพิ่มจำนวนแป้นอีก 17 แป้น รวมเป็น 101 แป้น 

ประเภทของ Key board ดูได้จากจำนวนปุ่ม และรูปแบบการใช้งาน Key board ที่มีอยู่ปัจจุบันจะมีอยู่ 5 แบบ

  1. Desktop Keyboard 
    ซึ่ง Key board มาตรฐาน จะเป็นชนิด 101 คีย์


  2. Desktop Keyboard with hot keys 
    เป็น Key board ที่มีจำนวนคีย์มากกว่า 101 คีย์ ขึ้นไปแล้วแต่วัตถุประสงค์ใช้งาน ซึ่งจะมีปุ่มพิเศษสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งแต่เวอร์ชัน 95 เป็นต้นไป 

    นอกจากนั้นยังมี Key board ซึ่งบางรุ่นจะมีการออกแบบ ตามหลักสรีระการวางข้อมือในขณะพิมพ์ เรียกว่า Ergonomic keyboard ซึ่งมองดูเหมือนเป็นรอยหักแบ่งช่องตรงกลาง Key boardบางชนิดยังได้รวมอุปกรณ์ Trackball และ Finger Pad เพื่อความสะดวกในการนำมาใช้แทน Mouse เมื่อใช้งานบางโอกาส


  3. Wireless Keyboard 
    Key boardไร้สายเป็นKey boardที่ทำงานโดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับตัว เครื่องคอมพิวเตอร์แต่จะมีอุปกรณ์ที่รับสัญญาณจากตัวKey boardอีกทีหนึ่ง การทำงานจะใช้ความถี่วิทยุในการสื่อสาร ซึ่งความถี่ที่ใช้จะอยู่ที่ 27 MHz อุปกรณ์ชนิดนี้มักจะมาคู่กับอุปกรณ์ Mouse ด้วย


  4. Security Keyboard 
    รูปร่างและรูปแบบการทำงานจะเหมือนกับKey boardแบบ Desktop แต่จะมีช่องสำหรับเสียบ Smart Card เพื่อป้องกันการใช้งานจากผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ Key boardชนิดนี้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการปลอดภัยสูง หรือใช้ควบคุมเครื่อง Server ที่ยอมให้เฉพาะ Admin เท่านั้นเป็นคนเปลี่ยนแปลงข้อมูล 

  1. Notebook Keyboard 
    เป็นKey boardที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดบางเบา ขนาดความกว้าง และยาวจะขึ้นอยู่กับเครื่อง Notebook ที่ใช้ ปุ่มบนแป้นพิมพ์จะอยู่ติดกันและบางมาก คีย์พิเศษต่างจะถูกลด และเพิ่มเฉพาะปุ่มที่จำเป็นในการ Present งาน หรือ การพักเครื่องเพื่อประหยัดพลังงาน



ข้อมูลจาก www.dcomputer.com